ผู้ประกอบการต้องรู้! วิถีทรงพลัง…อยู่อย่างมีพลังบวก

วิถีทรงพลัง อยู่อย่างมีพลังบวก….Jack Ma ผู้ก่อตั้ง Alibaba เคยบอกว่า ผู้ประกอบการหน้าใหม่ควรฝึกตัวเองให้ชินกับการถูกปฏิเสธ การเรียนรู้ที่จะอยู่กับการถูกปฏิเสธจะทำให้เราไม่เกรงกลัว และความไม่เกรงกลัวจะทำให้เรามองโลกในแง่ดีมากขึ้น และเดินหน้าต่อไปได้ แม้จะเจอกับอะไรที่หนักหนาสาหัสในชีวิต

Ma มีเรื่องเล่ามากมาย หลังเรียนจบ เขาถูกปฏิเสธจากงานถึง 30 ที่ที่หางโจว บ้านเกิดของเขา เรื่องหนึ่งที่เอามาพูดถึงอยู่เสมอคือ เมื่อเขาถูกปฏิเสธเข้าทำงานใน KFC ในยุคที่ KFC บุกเข้ามาที่จีนใหม่ๆ และเขาคือ “คนเดียว” ใน 24 คนที่สมัครแล้วไม่ได้งาน (และ Alibaba ก็กลับมาซื้อหุ้น KFC จีน เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา)

เขาพัฒนาความไม่เกรงกลัวยังไง Ma บอกว่า ต้องเปลี่ยนความคิดหรือ Mindset บางอย่าง “เมื่อเป็นพนักงานขาย และเราต้องออกไปขายของบางอย่าง เราควรบอกตัวเองว่า ‘วันนี้ ฉันไปหาลูกค้า 10 คน ถ้าบอกปฏิเสธหมด ก็ถือว่าปกติ’ เราก็กลับมาด้วยความสุข แต่ถ้าเราขายของได้กับคนหนึ่ง เราจะโคตรสุขสุดๆ เพราะมันได้มากกว่าที่เราคิด”

การมองโลกในแง่ดีหรือคิดบวกคือ ความท้าทายในแต่ละวันของเรา เพราะเราจะต้องโฟกัสและตั้งมั่นที่จะทำ เพื่อเอาชนะสิ่งที่คุกคามและทำให้เราทดท้อได้ตลอดเวลา

แน่นอนว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญแน่ๆ มันฝึกกันได้ ยิ่งกับคนที่ชอบคิดลบโดยตลอด ว่ากันว่า ยิ่งคิดบวก สุขภาพก็ยิ่งดีตาม

การศึกษาจำนวนมากแสดงให้เห็นว่า คนมองโลกในแง่ดีหรือคิดดี คิดบวก กายและใจของเขาดีกว่าคนมองโลกแย่ Martin Seligman แห่ง University of Pennsylvania ได้ทำวิจัยร่วมกับนักวิจัยจาก Dartmouth และ University of Michigan ด้วยการติดตามคนตั้งแต่อายุ 25-65 ปี พบว่า สุขภาพของคนที่มองโลกในแง่ร้ายแย่ลงอย่างรวดเร็วเมื่ออายุมากขึ้น

การค้นพบนี้คล้ายกับการวิจัยของ Mayo Clinic ซึ่งบอกว่า คนมองโลกในแง่ดีจะมีภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจในระดับต่ำ และอายุยืนยาวขึ้น ส่วนนักวิจัยที่ Yale และ University of Colorado พบว่า การมองโลกในแง่ร้ายเกี่ยวข้องภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง ต่อเนื้องอก และการติดเชื้อ

ทัศนคติที่ดี ไม่เพียงดีต่อสุขภาพ ยังทำให้ผลงานคุณดีด้วย Seligman ยังศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการมองบวกและผลการทำงาน เขาได้วัดพนักงานขายประกันที่มองโลกในแง่ดีและมองโลกในแง่ร้าย คนที่มองบวก สามารถขายประกันได้มากกว่าคนที่มองโลกแย่ถึง 37% โดยกลุ่มมองโลกแย่ๆ ยังมีแนวโน้มอยากจะลาออกเป็นสองเท่าในช่วงทำงานปีแรก

Seligman ในฐานะศึกษาเรื่องนี้มามาก นอกจากเชื่อว่า คนเราเปลี่ยนจากคนคิดลบเป็นคนคิดบวกได้ ผลการวิจัยของเขาก็สะท้อนให้เห็นว่า คนเราสามารถเปลี่ยนจากคนคิดลบเป็นคนคิดบวกได้ด้วยเทคนิคง่ายๆ และกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในพฤติกรรมของพวกเขาได้เลย เมื่อพวกเขาค้นพบมันแล้ว และต่อไปนี้คือวิธีที่อยู่อย่างคิดบวกที่ว่า

“3 วิธี อยู่อย่างมีพลังบวก”

  1. แยกแยะข้อเท็จจริง ไม่มโนไปแต่ในทางร้าย

หมายถึงหยุดคิดแต่เรื่องร้ายๆ ให้ตัวเอง ยิ่งคิดลบมากเท่าไร เรื่องพวกนี้จะเข้ามามีอิทธิพลต่อตัวเรามากขึ้นเท่านั้น และการคิดลบ ก็คือการคิด หรือการมโนไปก่อน มันไม่ใช่ข้อเท็จจริง

เมื่อเริ่มคิดลบ จงหยุดและจดมันลงไป หยุดสิ่งที่กำลังทำ และเขียนสิ่งที่กำลังคิด ให้เวลาตัวเองได้ชะลอห้วงเวลาที่ความคิดลบเป็นใหญ่ เพื่อใช้เหตุผลในการประเมินความจริงจากสิ่งที่จดลงไป สิ่งที่เป็นเรื่องมโน มักมีคำว่า ไม่เคยเลย, เสมอ, แย่ที่สุด, ตลอดกาล ฯลฯ

ลองคิดสิว่า “เราทำกุญแจบ้านหายเสมอไหม” แน่นอนว่า “ไม่” เราอาจลืมบ่อย แต่ส่วนใหญ่คือเราจำได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราจดลงไป จงเลือกแต่ข้อเท็จจริง สิ่งที่เรารู้สึกว่ามีอยู่เสมอหรือจะไม่เกิดขึ้นเลย คือสิ่งที่เรามโนเท่านั้นเอง ถ้าสลัดพวกมันทิ้งได้ เราก็จะหลุดพ้นจากวงจรนี้และก้าวไปสู่มุมมองใหม่ที่เป็นบวก

  1. มองแต่เรื่องบวก

ไม่ใช่จะไปหาเรื่องเขานะ แต่เป็นการระบุหรือคิดถึงสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่เพิ่งเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นในวันก่อน สัปดาห์ก่อน หรือแม้แต่มองไปข้างหน้ากับเหตุการณ์น่าตื่นเต้นที่เรารอคอย

เราต้องมีเรื่องดีๆ เหล่านี้ เพื่อเบนความสนใจของเราเมื่อความคิดเราเริ่มติดลบ มันไม่ใช่การวาดฝันในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่เป็นการนำเรื่องดีๆ ที่เคยเกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้นมาแทนที่สิ่งลบๆ ที่กำลังคุกคามเรา จากนั้นเราก็เพลิดเพลินกับเรื่องดีๆ

  1. ปลูกทัศนคติซาบซึ้งในสิ่งดี

นอกจากหาเรื่องดีๆ มาคิดแล้ว ก็ต้องรู้สึกซาบซึ้งหรือขอบคุณสิ่งดีๆ ที่มันเกิดขึ้นด้วย ความรู้สึกขอบคุณสิ่งต่างๆ ว่ากันว่าช่วยลดฮอร์โมนคอร์ติซอลที่มีผลต่อความเครียดได้ถึง 23% จากการวิจัยของ University of California, Davis พบว่า คนทำงานที่ได้รับการปลูกฝังทัศนคติแบบนี้ อารมณ์ก็ดีขึ้น ความวิตกกังวลก็ลดลง เนื่องจากระดับคอร์ติซอลที่ลดลง

เมื่อผสานทั้ง 3 เทคนิคนี้ เราก็จะเกิดพลังมหาศาล เพราะได้ฝึกฝนให้เราทลายความคิดลบ อยู่อย่างมีสติ และมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งดีๆ